จุดตั้งต้นของสองร้อยปีเมืองปทุมธานี
สืบเนื่องจากเมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ เสด็จประพาสเมืองสามโคกเมื่อพุทธศักราช ๒๓๕๘ เพื่อทรงรับบัวในเทศกาลตามธรรมเนียมประเพณีที่ถือปฏิบัติสืบมาแต่ครั้งต้นรัตนโกสินทร์ ขณะประทับที่พลับพลาริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันออกเยื้องตัวเมืองสามโคกนั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงรับบัวจำนวนมหาศาลที่ชาวบ้านตั้งใจนำขึ้นทูลเกล้าฯถวายเฉพาะพระพักตร์ด้วยความปลื้มปีติในภาพแห่งศรัทธาของประชาชนดังกล่าว จึงเป็นมูลเหตุให้พระองค์ได้พระราชทานนามเมืองว่า “ประทุมธานี” ดังปรากฏหลักฐานในเอกสาร“ความทรงจำของพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงบดินทร์ทรไพศาลโสภณ” ความว่า
“อนึ่งในกาลก่อนถึงกำหนดวันเดือน ๑๑ ขึ้น๑๓ ค่ำ ในหลวงเสด็จขึ้นไปรับบัวที่สามโคก เจ้านายและขุนนางข้าราชการตามเสด็จขึ้นไปพร้อมกัน ในหลวงเสด็จเป็นกระบวนมีเรือดั้งเรือกลอง ดังเช่นเสด็จพระราชดำเนินพระราชทานพระกฐิน เวลาบ่ายก็รับบัวจากสามโคกล่องกลับลงมา ที่รับบัวนั้นจึงปรากฏว่าเมืองปทุมธานีได้เรียกมาจนตราบเท่าทุกวันนี้ พอเวลาค่ำมหาดเล็กแลเจ้าพนักงานก็ตกแต่งปักเสียบขวดตั้งเสด็จในพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย รุ่งขึ้น ณ วัน ๑๔ ค่ำ มีเทศนาเณร๑๑ กัณฑ์ พระสงฆ์ถวายทศพรกับนครกัณฑ์ ๒ กัณฑ์รวม ๑๓ กัณฑ์ ครั้นรุ่งขึ้นวัน ๑๕ ค่ำ มีเทศนามหาชาติอีก ๑๓ กัณฑ์ พระสงฆ์ถวายเทศนาทั้ง ๑๓ กัณฑ์รุ่งขึ้นวันแรมค่ำ พระสงฆ์ถวายเทศนาจัตตุอริยสัจ ๔ กัณฑ์เป็นธรรมเนียมมีมาแต่ปฐมรัชกาลดังที่กล่าวมานี้ ครั้นในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยได้เสด็จพระราชดำเนินขึ้นไปรับบัวอยู่ ๒ ปี จึงมีพระบรมราชานุญาตให้กรมพระราชวังบวรฯ เสด็จขึ้นไปรับแทนพระองค์...”
กรมศิลปากรอนุโลมว่าวันดังกล่าวน่าจะตรงกับวันที่ ๑๖ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๓๕๘ โดยสันนิษฐานเทียบเคียงจากวันที่เริ่มประเพณีรับบัว คือ ในวันขึ้น๑๓ ค่ำ เดือน ๑๑ เรื่อยไปจนวันออกพรรษาคือวันขึ้น๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ซึ่งก็สอดคล้องกับประเพณีโยนบัวของชุมชนมอญพระประแดง สมุทรปราการ เพื่อนำบัวไปใช้บูชาพระในวันขึ้น ๑๕ ค่ำซึ่งเป็นวันปวารณาออกพรรษา ที่ยังคงจัดขึ้นในวันก่อนวันออกพรรษาคือวันขึ้น๑๔ ค่ำ เดือน ๑๑ ของทุกปี
สืบเนื่องมาจากสนธิสัญญาเบาริ่ง (Bowring Treaty) ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ทำให้มีการขยายพื้นที่ทำนาเพิ่มผลผลิตข้าวเพื่อการส่งออก ที่เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ มีการให้สัมปทานขุดคลอง โครงการรังสิตโดยบริษัทขุดคลองแลคูนาสยาม ใน พ.ศ. ๒๔๓๑ เริ่มด้วยการขุดคลองรังสิตประยูรศักดิ์ (คลองเจ้าสาย)
และตามด้วยคลองสาขาทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา จนเกิดเป็นทุ่งนาและชุมชนขนาดใหญ่อย่างรวดเร็ว ประกอบด้วยชาวนาจากทุกสารทิศอพยพเข้ามาจับจองพื้นที่ทำนา ก่อนที่จะได้ขยายพื้นที่การขุดคลองไปทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาในเวลาต่อมา
สืบเนื่องมาจากการที่ผู้คนหลั่งไหลเข้ามายังทุ่งนารังสิตเป็นจำนวนมาก ชุมชนขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็วจึงได้มีการตั้งเมืองธัญบุรี ซึ่งชื่อมีความหมายว่าเป็น“เมืองข้าว” ขึ้นใน พ.ศ. ๒๔๔๕ โดยจดหมายเหตุเมืองธัญบุรี ระบุว่า
“ก่อนการตั้งเมืองธัญบุรี (ธัญญบูรี) อาณาเขตของทุ่งรังสิตอยู่ระหว่างมณฑลกรุงเทพ มณฑลกรุงเก่าและมณฑลปราจีน ราษฎรทำนาใกล้แขวงมณฑลใดก็ขึ้นกับมณฑลนั้น การปกครองจึงแยกย้ายกันอยู่จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าน้องยาเธอกรมหลวงนเรศร์วรฤทธิ์ เสนาบดีกระทรวงนครบาลตรวจท้องที่ยกเขตแขวงขึ้นเป็นเมืองใหม่ กล่าวคือ แบ่งแขวงกรุงเทพ๒ อำเภอ คืออำเภอศีศะกระดาน กับอำเภอคลองที่ ๙ แบ่งแขวงจากเมืองปทุมธานีกึ่งท้องที่อำเภอคลองเปรมประชากร กับแขวงกรุงเก่า และเมืองสระบุที่ยังไม่ได้ตั้งนายแขวงอำเภอนั้น รวมเข้าไปเป็นแขวงเมืองขึ้นอยู่ในมณฑลกรุงเทพ และได้สร้างเมืองขึ้นที่ตำบลระหว่างคลองซอยที่ ๖ กับ ๗ ฝั่งเหนือคลองรังสิตประยูรศักดิ์ เมื่อวันที่ ๖ เมษายน พ.ศ. ๒๔๔๕พระราชทานนามเมืองว่า เมืองธัญญบูรี และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นายพันโท พระฤทธิจักรธำรงราชองครักษ์ประจำการ เป็นผู้ว่าราชการเมือง...”
พื้นที่แขวงเมืองธัญบุรีในเวลานั้นประกอบด้วย ๔อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมือง อำเภอคลองหลวง อำเภอหนองเสือ และอำเภอลำลูกกา ทั้งนี้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ โปรดเกล้าฯ เสด็จเปิดเมืองธัญบุรีเมื่อวันที่ ๑๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๔๕
ต่อมา ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ขยายอาณาเขตกรุงเทพมหานคร โดยตราพระราชบัญญัติการบังคับบัญชาหัวเมืองขึ้นใหม่ เมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๕๘ยกเลิกมณฑลกรุงเทพฯ เมืองธัญบุรี และเมืองประทุมธานีจึงกลับมาขึ้นอยู่กับกระทรวงมหาดไทย
ต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๖๐ ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายที่ตั้งเมืองประทุมธานีจากตำบลบางกระดีในปัจจุบัน ไปที่ตำบลบางปรอก (ศาลากลางหลังเก่า) เนื่องจากพิจารณาเห็นว่าที่ตั้งเมืองเวลานั้นอยู่ในสภาพที่ไม่เหมาะสมดังปรากฏบันทึกเหตุการณ์ครั้งนั้นอยู่ในคัมภีร์ใบลานภาษามอญวัดศาลาแดงเหนือ จารโดยนายเทียม ราษฎร์นิยมและแปลโดยนายสุนทร ศรีปานเงิน และนายสักชาญ หงส์ทอง ความว่า
“เสด็จมาถึงเมืองประทุมทอดพระเนตรเห็นเมืองสภาพเหงาหงอย ไม่เหมาะเพราะไตร่ตรองดูแล้วว่าไม่ถูกลักษณะ ไม่ครบองค์ประกอบ ๔ สถานที่ที่ตั้งอยู่นั้นต่ำเกินไป ไม่ถูกพระทัย ในหลวงตรัสว่าให้สร้างใหม่ไม่ต้องเสียดายเงินทอง แล้วทรงสั่งไว้กับข้าราชบริพารท่านอำมาตย์เสนาทั้งหลาย เมืองประทุมนั้น ไปมาและจอดเรือลำบากให้สร้างท่าน้ำและตกแต่งเมืองใหม่ให้กว้างใหญ่มีสนามหาด ทั้งโรงพักภูธร และเรือนจำอำเภอให้ตั้งร่วมอยู่ในจังหวัดด้วยเพื่อเป็นมงคลแด่ผู้ที่มาพบเห็น ขอให้เสร็จเร็วอย่าช้า...”
ต่อมาในวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๘ จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้โอนหัวเมืองทั้งสองไปขึ้นกับมณฑลกรุงเก่า และในวันที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๕๙ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนคำว่า “เมือง” เป็น “จังหวัด” และเปลี่ยนการเขียนชื่อจังหวัดจาก “ประทุมธานี” เป็น “ปทุมธานี” ขึ้นอยู่กับมณฑลกรุงเก่า (มณฑลกรุงเก่าเปลี่ยนเป็นมณฑลอยุธยาในวันที่ ๑๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๖๑) มีเขตการปกครองประกอบด้วยอำเภอ ๓ อำเภอ คือ อำเภอบางกะดี (ปัจจุบันมีสถานะเป็นตำบลบางกะดี อำเภอเมืองฯ) อำเภอสามโคกและอำเภอเชียงราก (ต่อมาย้ายมาอยู่ที่ตำบลระแหง และปัจจุบันคืออำเภอ ลาดหลุมแก้ว)
ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ. ๒๔๗๕ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาล ที่ ๗ โปรดเกล้าฯ ให้ยุบจังหวัดธัญบุรีลงเป็นอำเภอหนึ่ง ของจังหวัดปทุมธานี จึงมีเขตการปกครองเพิ่มขึ้นอีก ๔ อำเภอคือ ธัญบุรี ลำลูกกา หนองเสือ และบางหวาย (ปัจจุบันคืออำเภอคลองหลวง)