แตรวงชาวบ้านในปัจจุบันนับว่า “แตรวงชาวบ้าน” เป็นการ แสดงพื้นบ้านที่เป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของเมือง ปทุมธานี ในหนังสือสาสน์สมเด็จ ซึ่งเป็นการเขียน จดหมายโต้ตอบกันระหว่างสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ กับสมเด็จ พระบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เชื่อว่า “แตรวง” เป็นคำที่มีการใช้กันขึ้นแล้วในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ หรือก่อนหน้านั้นแตรวงในยุคแรกของไทยเป็นของมหาดเล็ก รักษาพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ที่มีพัฒนาการมาจากกองแตร สัญญาณ โดยนอกจากการบรรเลงเพลงฝรั่งแล้วยังมีการบรรเลงเพลงไทยด้วย เช่น เพลงคลื่นกระทบฝั่ง เพลงทะเลบ้า เป็นต้น จากแตรวงที่ใช้บรรเลงเพื่อให้ สัญญาณเป่านำขบวน หรือประกอบพิธีต่างๆ
เมื่อถึง รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาล ที่ ๖ แตรวงชาวบ้านก็ได้ถือกำเนิดขึ้น โดยมากมัก เกิดขึ้นในจังหวัดที่มีกองทหารตั้งอยู่ นัยว่าทหารแตรวง ตามกองต่างๆ นี้เองเป็นผู้ถ่ายทอดการเล่นแตรวงมาสู่ชาวบ้าน จนเกิดเป็นอาชีพรับเล่นแตรวงเพื่อความ บันเทิงในงานของชาวบ้านปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้แตรวงแพร่หลาย ก็เนื่องจากการเข้ามาของภาพยนตร์ ซึ่งภาพยนตร์ใน ยุคแรกเป็นภาพยนตร์เงียบ ทำให้เจ้าของโรงต้องจัดหา แตรวงมาบรรเลงประกอบ และก่อนจัดฉายจะมีการจัด ขบวนแห่เพื่อประชาสัมพันธ์ภาพยนตร์ของตัวเองไป ตามย่านชุมชน โดยมีคณะแตรวงร่วมแห่ไปด้วย สร้าง ความครื้นเครงและเป็นที่จดจำ ต่อมาบรรดาผู้มีฐานะ เมื่อมีการจัดงานก็มักจะจ้างคณะแตรวงไปเล่นและ แห่ขบวนจนกลายเป็นประเพณีนิยม หากบ้านไหนจัดงาน แล้วมีขบวนแห่แตรวงก็นับได้ว่าเจ้าภาพเป็นผู้มีอันจะกิน เป็นที่นับหน้าถือตาของคนไปทั่ววงแตรวง (Brass Band) เป็นวงดนตรีที่ผสมด้วย เครื่องดนตรีเพียงสองตระกูลเท่านั้น คือประเภทเครื่องเป่า (Wind Instrument) และประเภทเครื่องตี (Per-cussion Instrument) วงดนตรีในลักษณะนี้เหมาะ สำหรับใช้บรรเลงนำในการเดินแถวในทุกสภาพท้องถิ่น เพราะเครื่องดนตรีประเภทแตรสร้างขึ้นด้วยโลหะ ไม่มี ส่วนประกอบที่กระจุกกระจิกเหมือนเครื่องดนตรีอื่นๆ ทนทานต่อการโยกย้ายและหอบหิ้วไปได้โดยสะดวกภาษาของนักดนตรีระบุว่า สูตรเครื่องดนตรี แตรวงที่พูดให้จำกันได้ง่ายๆ คือ “แตรสี่ ปี่สอง กลองต่างหาก” คือ แตรสี่ ได้แก่ คอร์เนท บาริโทน ทรัมเป็ต และยูไฟเนียม ปี่สอง ได้แก่ ปี่สั้น (Clarinet Eb) และปี่ยาว (Clarinet Bb) กลองต่างหาก ได้แก่ กลองมะริกัน กลองแตร็ก และฉาบ ๑ คู่ในการบรรเลงแตรวง บางครั้งอาจมีการเพิ่มเติม เครื่องดนตรีบางชิ้นลงไป เพื่อให้เกิดอรรถรสและสุนทรี ในการฟัง จึงพบว่า แตรวงแต่ละวงมีลักษณะการรวมวง ต่างกัน แต่สิ่งที่ทุกวงมีเหมือนกันและเป็นเอกลักษณ์ของ วงแตรวง คือ การรวมกันระหว่างเครื่องดนตรีประเภทเครื่องเป่า กับเครื่องตีและเครื่องกระทบ
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ แตรวงชาวบ้านเฟื่องฟูขึ้นอย่างมาก พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงได้ทรงบัญญัติ คำว่า “ดุริยางค์” ขึ้น ดังนั้นวงดนตรีทั้งหลายจึงหันมา ใช้คำว่า “ดุริยางค์” แทนคำว่าดนตรี อาทิ วงจุลดุริยางค์ วงดุริยางค์สากล วงดุริยางค์ไทย เป็นต้นวงดุริยางค์ถูกใช้ในความหมายของการนั่งบรรเลง เช่น วงดุริยางค์กรมศิลปากร วงดุริยางค์ซิมโฟนีกรุงเทพ เป็นต้น สำหรับวงโยธวาทิตนั้น นิยมเรียกดนตรีที่ใช้ในการแสดงสวนสนามของกองดุริยางค์ทหาร กองลูกเสือ นอกจากนั้นวงโยธวาทิตได้แพร่เข้าไปสู่ระบบการศึกษา เข้าไปอยู่ในโรงเรียนทั่วประเทศทั้งระดับประถมศึกษาและ มัธยมศึกษา ทำหน้าที่บรรเลงเชิญธงชาติขึ้นสู่ยอดเสา นำแถวนักกีฬา และนำแถวลูกเสือ เป็นต้น แม้เครื่องดนตรีที่เห็นล้วนแล้วแต่เป็นเครื่องดนตรี ตะวันตก แต่วงแตรวงดังกล่าวมานี้กลับกลายเป็นการ แสดงพื้นบ้านอันเป็นเอกลักษณ์ของชุมชนต่างจังหวัด แม้กระทั่งปทุมธานีจังหวัดปริมณฑลของกรุงเทพฯ ขึ้นมา ได้ ด้วยรูปแบบการบรรเลงเพลงที่นิยมใช้เพลงไทยเดิม ซึ่งถูกปรับประยุกต์ท่วงทำนองขึ้นมาเป็นเพลงลูกทุ่ง นำมาเล่นภายในงานของชาวบ้าน ตั้งแต่งานขึ้น บ้านใหม่ โกนจุก ทำขวัญนาค แห่นาค แห่ขันหมาก ไหว้ครู ทอดกฐิน กระทั่งงานศพ เรียกได้ว่าแตรวงเป็นการแสดงที่มีหน้าที่อยู่ในแทบทุกโอกาสและวาระสำคัญตลอดทุกช่วงชีวิตของชาวบ้านเลยทีเดียว