รากเหง้าแผ่นดินโบราณริมแม่น้ำ
รากเหง้าแผ่นดินโบราณริมแม่น้ำ
บ้านสามโคก
ในพุทธศตวรรษที่ ๑๘ บริเวณริมสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่างของกรุงศรีอยุธยาเป็นอาณาบริเวณที่ตั้งของบ้านสามโคก ในอดีตเต็มไปด้วยป่าไม้หนาแน่นและอุดมด้วยสัตว์ป่านานาชนิด บ้านเรือนราษฎรตั้งเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ริมฝั่งแม่น้ำ ต่อมาได้เพิ่มจำนวนมากขึ้น ภายหลังพระเจ้าอู่ทองทรงตั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี
ปทุมธานีในอดีตยังคงเป็นเพียงชุมชนเล็ก ๆ เป็นด่านขนอนกักเก็บภาษีเรือสำเภาก่อนที่จะเดินทางผ่านเข้ามาสู่ตัวเมืองกรุงศรีอยุธยา มีปรากฎหลักฐานในหนังสือ “กำสรวญสมุทร” หรือที่รู้จักกันในนาม กำสรวญศรีปราชญ์ ซึ่งเป็นวรรณกรรมของศรีปราชญ์ที่แต่งขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น บรรยายถึงการเดินทางผ่านเมืองเก่าริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาที่มีชื่อว่า “พญาเมือง” ความว่า
จากมาเรือร้อนท่ง พญาเมือง
เมืองเปล่าปลิวใจหาย น่าน้อง
จากมาเยี่ยมมาเปลือง อกเปล่า
อกเปล่าวายฟ้าร้อง ร่ำหา รนหา
จากมาเมืองเก่าเท้า ละเท ธารอา
เทท่าบึงบางบา บ่าไส้
จากมาอ่อน อาเม บุญบาป ใดนา
เมืองมิ่งหลายเจ้าไว้ รยกโรย
จากวรรณกรรมของศรีปราชญ์ ที่กล่าวถึง “พญาเมือง” แผ่นดินกว้างที่อยู่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา เขตตำบลบ้านงิ้ว ติดต่อตำบลเชียงรากใหญ่ อำเภอสามโคก ซึ่งมีวัดวาอารามตั้งเป็นกลุ่ม ตั้งแต่วัดสองพี่น้อง วัดร้างบริเวณวัดสองพี่น้อง วัดนางหยาด(ร้าง) วัดป่างิ้ว วัดพญาเมือง(ร้าง) และวัดราชบูรณะ(ร้าง) ซึ่งบริเวณทุ่งพญาเมือง คือชุมชนริมน้ำโบราณที่ร้างไป หลังไทยเสียกรุงศรีอยุธยาให้แก่พม่า ในปรพุทธศักราช ๒๓๑๐
ร่องรอยอดีตชุมชนโบราณริมแม่น้ำ มีปรากฏหลักฐานบันทึกจดหมายเหตุรายวันของบาทหลวงชาวฝรั่งเศส เดอ ชัวซีย์ (De Choisy) ผู้ช่วยราชฑูต เชอวาเลีย เดอ โชมองต์ (Chevaliver de Chaumont) เมื่อครั้งราชฑูตของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ แห่งกรุงฝรั่งเศส เดินทางมาเจริญสัมพันธไมตรีกับสมเด็จพระนารายณ์มหาราชืปีพุทธศักราช ๒๒๒๘ และหยุดพักที่เมืองสามโคกก่อนเข้ากรุงศรีอยุธยา ในบันทึกได้บรรยายถึงบ้านสามโคก ความว่า
“...เช้าวันนี้เราเห็นเรือกำปั่นวิลันดาและอังกฤษแล่นขึ้นไปตามลำน้ำมุ่งตรงไปยังกรุงศรีอยุธยา เรือทั้งสองลำนี้เป็นเรือเล็ก ดูท่าจะเป็นเรือไม่สู้ดีนัก ที่เรือวิลันดายิงปืนเป็นการคำนับ ๙ นัด เรืออังกฤษ ๕ นัด เวลานี้มองเห็นหมู่บ้านสามโคก ซึ่งอยู่ทางซ้ายมือไม่ถนัด ที่นั่นมีโรงสวดสร้างขึ้นไว้เป็นอนุสาวรีย์แห่งเซนต์แพร์และมิสชั่นนารีผู้ดูแลรักษาโรงสวดเก่าและได้ล่วงลับไปแล้ว ทางขวามือก็มีหมู่บ้านเหมือนกัน...เวลารับประทานอาหารกลางวันมีออกพระ ๒ นาย ซึ่งเป็นแม่ทัพคุมทหารขัดตาทัพอยู่ทางชายแดนต่ออาณาเขตเมืองมอญกับข้าราชการอีก ๒๐ นายก็มาถึง ต่างพากันไปคำนับท่านเจ้าเมือง พอตกเวลาเย็นมีข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยพากันมาอีกเป็นอันมาก บ้านช่องที่พักก็สร้างแบบเดียวกันทั้งหมด การสร้างและการตกแต่งก็ทำเสร็จในวันนั้น มีคนงานไม่ต่ำกว่า ๒๐,๐๐๐ คน”
หลักฐานเมืองสามโคก ปรากฎในแผนที่ De Groote Siamse Rievier Me-nam เขียนโดยนักเขียนแผนที่ชาวฮอลันดาได้เขียนถึงเส้นทางน้ำตั้งแต่ปากอ่าวสยามยาวไปจนถึงหัวเมืองเหนือ ให้รายละเอียดเกี่ยวกับชื่อบ้านเมืองริมน้ำ วัดวาอาราม ถนนหนทางไว้อย่างชัดเจน (รวมทั้งสิ้น ๑๐๑ ชื่อ) และยังรวมถึงที่ 22. Potte Bakkers Drop. หมายถึงหมู่บ้านปั้นหม้อ หรือ บ้านสามโคก ของชุมชนชาวมอญแห่งเมืองสามโคก (โดยแผนที่นี้รวมอยู่ในหนังสือ Oud en Niew Oost-Indien ตีพิมพ์ ในปีพุทธศักราช ๒๒๖๙ ตรงกับปลายรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าท้ายสระ) ถือเป็นหลักฐานการบอกเล่าถึงอาชีพของชาวมอญที่สามโคก ซึ่งยังคงเหลือหลักฐานเตาเผาตุ่มโบราณอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาหน้าวัดสิงห์
โคกเตาเผาโบราณริมแม่น้ำเจ้าพระยา ที่พบบริเวณหน้าวัดสิงห์ อำเภอสามโคก ซึ่งเป็นอีกหนึ่งหลักฐานที่สอดคล้องกับแผนที่ที่เขียนขึ้นโดยชาวตะวันตกในสมัยอยุธยา
ตุ่มดินเผา มีเนื้อดินสีแดงอมส้ม เอกลักษณ์ของชาวมอญสามโคกที่สืบทอดต่อกันมา นอกจากนี้ยังมี ตุ่ม อ่าง กระถาง ครก บรรทุกลงเรือ ขึ้นล่องขายตามลำน้ำเรื่อยมาตั้งแต่สมัยอยุธยา
ตุ่มสามโคก เป็นภาชนะดินเผามีเนื้อดินหนา รูปทรงปากตุ่มแคบ คอตุ่มจะติดกับไหล่ ช่วงกลางป่องกลม รูปทรงเตี้ยป้อม ปากตุ่มและก้นตุ่มมีขนาดใกล้เคียงกัน มีสำนวนเปรียบเทียบคนรูปร่างอ้วนว่า “อ้วนเหมือนตุ่มสามโคก” คุณสมบัติพิเศษของตุ่มสามโคกคือ เก็บรักษาความเย็นของน้ำได้ดี
ภายหลังจากสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงกอบกู้บ้านเมืองได้สำเร็จ การติดต่อค้าขายกับต่างชาติจึงขยายตัวมากขึ้น การค้าสมัยกรุงศรีอยุธยาใช้แม่น้ำเจ้าพระยาเป็นเส้นทางหลัก ส่งผลให้เมืองสามโคกมีผู้อพยพเข้ามาตั้งบ้านเรือนที่อยู่อาศัย สร้างวัดวาอารามริมสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยามากยิ่งขึ้นตามลำดับ
ในรัชสมัยพระเจ้าทรงธรรม (พุทธศักราช ๒๑๖๓ – ๒๑๗๑) ได้มีการขุดคลองลัดแม่น้ำเจ้าพระยา เรียกว่า “คลองลัดเตร็ดใหญ่” จากวัดไก่เตี้ยท้ายบ้านสามโคกมายังวัดมะขาม วัดศาลเจ้าในปัจจุบัน เพื่อย่นระยะทางการเดินทาง ต่อมาภายหลังคลองที่ขุดได้กลายเป็นแม่น้ำเจ้าพระยา ส่วนลำน้ำเดิมนั้นกลายเป็นคลองบ้านพร้าว คลองบางพูน และคลองเชียงราก ชุมชนสามโคกจึงขยายตัวตามลำน้ำที่ขุดขึ้นใหม่ด้วย และคงจะขยายตัวเป็นอย่างมาก เห็นได้จากในสมัยพระเจ้าปราสาททอง (พุทธศักราช ๒๑๗๓ – ๒๑๙๘) กฏหมายเก่าลักษณะพระธรรมนูญ ว่าด้วยการใช้ตราราชการ พุทธศักราช ๒๑๗๙ ระบุไว้ว่า “สามโคกเป็นหัวเมืองขึ้นกับกรมพระกลาโหม”