ประวัติศาสตร์และการเปลี่ยนแปลง
คลองรังสิต
ประวัติศาสตร์และการเปลี่ยนแปลง
“ในพระราชอาณาเขตสยามนี้ คลองเป็นสิ่งสำคัญ
ในปีหนึ่งควรให้มีคลองขึ้นสักสายหนึ่ง จำทำให้บ้านเมืองเจริญขึ้น
ถึงจะออกพระราชทรัพย์ ปีละพันชั่ง หรือสองพันชั่ง ก็ไม่ทรงเสียดาย”
พระราชดำรัส พระบามสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระราชทานแด่ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์
ในรัชสมัยพระบามสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ถือได้ว่าเป้นช่วงของการขยายตัวและพัฒนาพื้นที่เพาะปลูกข้าว พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ขุดคลองแขวงเมืองประทุมธานี โดยเริ่มจากริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาที่ตำบลบ้านใหม่ แขวงเมืองประทุมธานี ผ่านทุ่งหลวงรังสิต ไปออกแม่น้ำนครนายก ณ ทุ่งหลวง นับเป็นการเริ่มต้นกิจการด้านการชลประทานครั้งแรกในประเทศไทย
การขุดคลองบริเวณทุ่งหลวงดำเนินการโดย บริษัทขุดคลองแลคูนาสยาม โดยพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์ ทรงขอพระบรมราชานุญาตขุดคลองตามโครงการรังสิตและทรงได้รับพระราชทานสัญญาสัมปทานเป็นระยะเวลา ๒๕ ปี ขุดคลองทั้งสิ้นตามโครงการจำนวน ๕๙ สาย
ในระยะแรกของการขุดคลอง ชาวบ้านจะเรียกคลองแห่งนี้ว่า คลองเจ้าสาย ตามพระนามของพระองค์ นอกเหนือจากที่เรียก คลองแปดวา (๑๖ เมตร) ซึ่งเรียกตามขนาดความกว้างของคลอง
ต่อมาพระบามสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามคลองนี้ว่า “คลองรังสิตประยูรศักดิ์” เพื่อเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร (ต้นราชสกุลรังสิต)
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ฯ พระราชโอรสในเจ้าจอมมารดาเนื่อง สนิทวงศ์ ซึ่งเป็นธิดาในพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์ ถือเป็นสายสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงระหว่างรัชกาลที่ ๕ และพระองค์เจ้าสายฯ ผู้ก่อตั้งบริษัทขุดคลองแลคูนาสยาม
การขุดคลองของบริษัทขุดคลองแลคูนาสยามเพื่อเปิดพื้นที่เพาะปลูกใหม่ประกอบกับการเลิกทาสในปี พุทธศักราช ๒๔๑๕ ทำให้ทาสบางส่วนมีฐานะเป็นเสรีชนและถูกผลักดันให้อพยพออกไปตั้งถิ่นฐานใหม่ ขณะเดียวกันที่สภาวะแวดล้อมทางธรรมชาติในเขตทำนาดั้งเดิมเช่นแถบเพชรบุรีมีความเปลี่ยนแปลง ทำให้มีชาวนาจากชายฝั่งทะเลทางตอนใต้และจากที่อื่นๆ อพยพเข้าสู่เขตรังสิตเพื่อเปิดพื้นที่ปลูกข้าว ส่งผลให้เศรษฐกิจการผลิตและค้าขายของสยามเติบโตอย่างรวดเร็ว
วิถีชีวิตของชาวบ้านริมฝั่งน้ำแถบนี้ไม่ต่างอะไรนักกับบ้านริมน้ำทั่วไป ที่ทุกเช้าพ่อค้าแม่ขายจะพายเรือเสนอขายเครื่องใช้ อาหารคาวหวาน เต็มสองฝั่งคลอง แม้กระทั่งเรือขายตุ่ม อ่าง กระถาง ครก ก็มีให้เห็น และสิ่งที่ดูจะแตกต่างไปจากที่อื่นคงเป็นความคึกคักของบรรดาพ่อค้าแม่ขายของกินที่มีมากมายหลายชนิด โดยเฉพาะเรือขายก๋วยเตี๋ยวที่มีให้เห็นหลายลำเรือ จนเป็นที่มาของทก๋วยเตี๋ยวเรือรังสิต อันมีชื่อเสียงมาจนถึงทุกวันนี้
รวมสองเมืองเป็นจังหวัดปทุมธานี
โครงการพัฒนาทุ่งรังสิต ก่อให้เกิดการขยายตัวของชุมชนขนาดใหญ่ตามมา พระบามสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงให้มีการจัดตั้งพื้นที่ริมฝั่งคลองให้เป็นเมือง และพระราชทานนามว่า “เมืองธัญญบูรี” หรือ เมืองแห่งข้าว เมื่อวันที่ ๖ เมษายน พุทธศักราช ๒๔๔๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ก่อสร้างสถานที่ราชการ ศาลาว่าการเมือง ศาลเมือง จวนผู้ว่าราชการเมือง ศาลาท่าน้ำ ตลอดจนถนนหนทาง นอกจากนี้ยังสร้างพิพิธภัณฑ์ข้าว เพื่อใช้เลือกสรรพันธุ์ข้าว การก่อสร้างเมืองใช้เวลา ๑ ปี ๘ เดือน และเสด็จเปิดเมืองธัญญบูรีด้วยพระองค์เอง ในวันที่ ๑๓ มีนาคม พุทธศักราช ๒๔๔๕ ดังความปรากฎหลักฐาน ในหนังสือราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๑๙ หน้า ๑๐๒๘ ดังนี้
...ครั้นถึงวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๔๔๕ เวลาเช้าพระบามสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเครื่องแบบทหารเต็มยศ พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช และพระบรมวงศานุวงศ์ เสด็จโดยรถพระที่นั่งจากสถานีวังสวนดุสิต ถึงสถานีรถไฟคลองรังสิตเวลาเช้า สองโมงเศษ ณ ที่นั่นมีพ่อค้าประชาชนทั้งเมืองปทุมและเมืองธัญญบูรี มารับเสด็จกันอย่างมากมาย...
ในคำกราบบังคมทูลของนายพันโท พระฤทธิจักรกำจร ผู้ว่าราชการเมืองธัญญบูรี ได้ถวายรายงานความเจริญก้าวหน้าของเมืองธัญญบูรีว่าเป็น ผลสืบเนื่องมาแต่พระราชดำริในพระบามสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณให้มีการขุดคลองเพื่อเปิดท้องทุ่งหลวง ความว่า
“...ผลของความดำริห์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเปิดท้องทุ่งหลวงให้มีคลองเป็นทางเพื่อการเพาะปลูกและไปมาค้าขาย ประชาชนทั้งหลายจึงได้มีโอกาสเข้าทำไร่ทำนาและทำมาค้าขายได้สะดวก จนมีโรงสีเข้า (ข้าว) ด้วยเครื่องจักรกลรถไฟขึ้นในบ้านเมือง และมีเรือเดินบรรทุกเข้า (ข้าว) กับสินค้า ไปมาตลอดฤดูกาล เพราะพระมหากรุณาธิคุณเพาะปลูกแลค้าขายกับทั้งจัดการปกครองดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยด้วยเมืองธัญญบูรีจึงมีความเจริญโดยเร็วพลัน”
เมืองธัญญบูรี มีการแบ่งเขตการปกครองออกเป็น ๔ อำเภอ คือ
- อำเภอเมืองธัญญบูรี
- อำเภอบางหวาย
- อำเภอลำลูกกา
- อำเภอหนองเสือ
ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการขุดคลองชลประทานตามโครงการ “คลองพระอุดม” เพื่อเปิดพื้นที่การเกษตรที่กว้างใหญ่ ณ ทุ่งฝั่งแม่น้ำตะวันตก ซึ่งเต็มไปด้วยป่ารกชัฏ ให้เป็นพื้นที่ทำนาเพาะปลูกข้าว ทำให้มีชาวบ้านอพยพเข้ามาอาศัยเป็นจำนวนมาก จนเป็นเหตุให้ย้ายที่ทำการอำเภอเชียงราก จากที่ตั้งอยู่ใต้ปากคลองบ้านพร้าวไปตั้งใหม่ที่ตำบลระแหงในปัจจุบัน มีรองอำมาตย์ ขุนวิเศษภักดี เป็นนายอำเภอในระยะแรก และให้เรียกอำเภอที่สร้างใหม่ว่า อำเภอระหง ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น อำเภอลาดหลุมแก้ว
และเมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๕๙ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนคำว่า “เมือง” เป็น “จังหวัด” และเปลี่ยนการเขียนชื่อจาก “ประทุมธานี” เป็น “ปทุมธานี” สังกัดมณฑลกรุงเก่า ซึ่งต่อมาเปลี่ยนเป็นมณฑลอยุธยา
จังหวัดปทุมธานี ในปีพุทธศักราช ๒๔๖๑ มีเขตการปกครอง ๓ อำเภอ คือ อำเภอบางกระดี อำเภอสามโคก และอำเภอเชียงราก ต่อมาหลังการเปลี่ยนแลงการปกครองในปี พุทธศักราช ๒๔๗๕ พระบามสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยุบจังหวัดธัญบุรี ไปรวมกับจังหวัดปทุมธานี ทำให้จังหวัดปทุมธานี มีเขตการปกครองรวมเป็น ๗ อำเภอ คือ อำเภอบางกระดี (ปัจจุบันคืออำเภอเมืองปทุมธานี) อำเภอสามโคก อำเภอลาดหลุมแก้ว อำเภอธัญบุรี อำเภอลำลูกกา อำเภอบางหวาย (ปัจจุบันคือ อำเภอคลองหลวง) และอำเภอหนองเสือ