ปี่พาทย์มอญ
ปี่พาทย์มอญที่ปรากฏอยู่ในสังคมไทยนี้ไม่มี หลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรว่าได้เข้ามาสู่ประเทศไทย ตั้งแต่สมัยใด อาจารย์มนตรี ตราโมท ราชบัณฑิตและ ศิลปินแห่งชาติ สาขาดนตรีไทย เชื่อว่าวงปี่พาทย์มอญ น่าจะเข้าสู่เมืองไทยในสมัยอยุธยา ด้วยในสมัยสุโขทัย คนมอญยังไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับสังคมไทยมากนัก และการที่มอญจะนำวงปี่พาทย์หรือเครื่องบันเทิงใดๆ ติดตัวเข้ามาด้วยนั้นก็จะต้องเป็นสมัยที่อพยพกันเข้ามา ครั้งละเป็นจำนวนมาก เช่น สมัยสมเด็จพระนเรศวร มหาราช
แต่เดิมเครื่องดนตรีวงปี่พาทย์มอญมีเพียง ๕ ชิ้นเท่านั้น คือ ฆ้องมอญ ปี่มอญ ตะโพนมอญ เปิงมางคอก และระนาดมอญ ปัจจุบันมีการนำเอา เครื่องดนตรีอื่นๆ เข้ามาผสม โดยทั่วไปวงปี่พาทย์มอญแบ่งออกเป็น ๓ ขนาดคือ วงเครื่องใหญ่ ประกอบด้วย ปี่มอญ ฆ้องวงใหญ่ ฆ้องวงเล็ก ระนาดเอก ระนาดทุ้ม ระนาดเอกเหล็ก ระนาดทุ้มเหล็ก ตะโพนมอญ เปิงมางคอก ฉาบเล็ก ฉาบใหญ่ กรับ และฉิ่ง วงเครื่องคู่ ฆ้องวงใหญ่ ฆ้องวงเล็ก ระนาดเอก ระนาดทุ้ม ปี่มอญ เปิงมางคอก ตะโพนมอญ ฉาบเล็ก ฉาบใหญ่ กรับ และฉิ่ง และ วงเครื่องห้า ประกอบด้วย ฆ้องวง ระนาดเอก ปี่มอญ ตะโพนมอญ เปิงมางคอก และฉิ่ง
วงดนตรีปี่พาทย์มอญนั้นแต่เดิมนิยมเล่นทั้งงาน มงคลและงานอวมงคลทั่วไป แต่ภายหลังมีการนำ วงปี่พาทย์มอญไปบรรเลงในงานพระศพของสมเด็จ พระเทพศิรินทรามาตย์ พระราชินีในพระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ซึ่งพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงดำริว่า มารดาของพระองค์นั้นเป็นเชื้อสายมอญโดยตรง จึง โปรดฯ ให้นำวงปี่พาทย์มอญมาบรรเลง ด้วยเหตุนี้ ภายหลังจากงานพระศพดังกล่าวจึงได้กลายเป็น ความเชื่อและยึดถือกันมาโดยตลอดว่า ปี่พาทย์มอญ นั้น ใช้บรรเลงเฉพาะในงานศพเท่านั้น
โดยมากเมื่อมีการบรรเลงปี่พาทย์ก็มักจะมีการ แสดงมอญรำควบคู่กันไปด้วยทุกครั้ง ส่วนการแสดง ทะแยมอญนั้นใช้วงดนตรีอีกประเภทหนึ่งต่างหาก คือ วงเครื่องสาย ประกอบด้วย จะเข้ ซอมอญ ปี่มอญ ขลุ่ย กลองเล็ก และฉิ่ง
ในที่นี้คือความเป็นมาของตระกูลปี่พาทย์มอญ เมืองปทุมธานี ที่ได้มีการจดบันทึกเรื่องราวและเล่าขานสืบต่อกันมากระทั่งปัจจุบันนั่นคือ ตระกูล “ดนตรีเสนาะ” และ “ดนตรีเจริญ” โดยเล่าสืบต่อกันมาว่า ครอบครัว มอญนักดนตรีปี่พาทย์ครอบครัวหนึ่ง ๓ คนพี่น้อง เมื่อ ครั้งอพยพลี้ภัยทหารพม่าเข้ามายังประเทศไทย ได้นำ เอาฆ้องมอญตัดออกเป็น ๓ ท่อน ส่วนลูกฆ้องใส่ กระบุงแบ่งให้สมาชิกในครอบครัวช่วยกันหาบ เดินทางเข้ามาทางด่านเมืองตาก ได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่ เมืองปทุมธานี ตั้งบ้านเรือนอยู่ย่านปากคลองบางโพธิ์ เหนือ ตำบลบางปรอก อำเภอเมือง จากนั้นได้รวบรวม ครอบครัวอื่นๆ ที่มีเครื่องดนตรีชนิดประสมเป็นวง ปี่พาทย์มอญขึ้นใหม่อย่างไรก็ตามผู้รู้ด้านมอญศึกษาปฏิเสธเรื่องเล่า ดังกล่าว โดยระบุว่า ฆ้องมอญโบราณนั้นถูกทำขึ้น เพื่อให้แยกออกได้เป็น ๓ ส่วนอยู่แล้ว รวมทั้งยังไม่มี ขาสำหรับตั้งอย่างเช่นในปัจจุบันอีกด้วย เพื่อให้ง่าย ต่อการเคลื่อนย้ายลงเรือขึ้นเกวียนไปบรรเลงในงานต่างๆ
เมื่อถึงงานก็ประกอบเข้าด้วยกันและมัดวงฆ้องเข้ากับเสาบ้านหรือเสาศาลาวัดในแนวตั้งเพื่อสะดวกต่อการบรรเลงอย่างไรก็ตามครอบครัวดนตรีปี่พาทย์ครอบครัวนั้น ได้สืบเชื้อสายมาเป็น ครูเจิ้น และครูสุ่ม ต่างมีความ เชี่ยวชาญเจนจบในเรื่องดนตรีและเพลงมอญ ได้บรรเลง และถ่ายทอดให้กับผู้สนใจ จนมีลูกศิษย์ลูกหาทั่วบ้าน ทั่วเมือง ชื่อเสียงของท่านขจรขจายไปทั่วทุกสารทิศ
ภายหลังพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ โปรดพระราชทานพระราชบัญญัตินามสกุลใน พ.ศ. ๒๔๕๖ แล้ว ได้พระราชทานนามสกุลให้แก่ ครูดนตรีมอญ ๒ ท่านที่พระองค์ชื่นชมในฝีมือและเคย รับใช้งานหลวงบ่อยครั้ง โดยครูเจิ้นผู้เป็นพี่ชายได้รับ พระราชทานนามสกุลว่า “ดนตรีเสนาะ” ส่วนครูสุ่มผู้น้อง ได้รับพระราชทานนามสกุล “ดนตรีเจริญ” และต่างก็มีลูกหลานสืบทอดเชื้อสายและดนตรีปี่พาทย์มอญสืบเนื่องต่อมาจวบจนปัจจุบันทุกวันนี้วงปี่พาทย์มอญเกิดขึ้นแพร่หลาย ไม่เฉพาะ คนมอญเท่านั้น คนไทยเองก็ตั้งวงดนตรีปี่พาทย์มอญขึ้นจำนวนมากเช่นกัน ปัจจุบันในจังหวัดปทุมธานีจึงมีวงปี่พาทย์มอญทั้งสิ้นถึง ๔๗ วงด้วยกัน วงที่สำคัญ เช่น วงดนตรีเสนาะ วงดนตรีเจริญ วงประสานมิตรบรรเลง วงทรัพย์สังวาลย์ วง ส.สุวัฒน์ เป็นต้น